เหงื่อออกรักแร้มากผิดปกติ

 

          ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ เป็นภาวะที่ระบบประสาทซึ่งควบคุมการหลั่งของเหงื่อทำงานมากกว่าปกติ ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ รักแร้ ฝ่ามือและฝ่าเท้า คนประสบปัญหานี้จะมีซอกรักแร้เปียกชื้นตลอดเวลาและอาจทำให้มีกลิ่นตัวได้ บางคนไม่กล้าใส่เสื้อผ้าสีอ่อนๆเพราะกลัวจะเห็นเป็นรอยเปียกเหงื่อ การรักษามีหลายวิธี เช่น การทายา Aluminium chloride 20% การรับประทานยาที่มีผลระงับเหงื่อ การฉีดโบท๊อกซ์ และการผ่าตัดต่อมเหงื่อ

          สำหรับเหงื่อออกมากผิดปกติเฉพาะส่วน โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว การรักษาง่าย ๆ โดยใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ 10-15% ทาใต้วงแขน ก็มักจะช่วยระงับเหงื่อที่มากผิดปกติ รวมไปถึงช่วยดับกลิ่นได้ด้วย แต่ก็ต้องระมัดระวัง เพราะหากใช้เปอร์เซ็นต์สูงเกินไป ก็มีผลให้เกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากผิวใต้วงแขนนั้น มักจะเป็นผิวอ่อน บอบบาง

          แต่ พวกโรลออนดับกลิ่นตัวนั้น มักจะไม่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ จึงได้แค่ลดกลิ่น แต่ไม่ระงับเหงื่อ หากใครเหงื่อออกมากที่มือและเท้า ทางการแพทย์เราใช้วิธีการทำไอออนโตโฟเรซิส (Iontophoresis) ให้แช่มือและเท้าในอ่างน้ำ พร้อมกับปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ จากเครื่องไอออนโต จะช่วยไประงับการทำงานของต่อมเหงื่อ โดยต้องนั่งแช่อยู่ประมาณ 10-20 นาที และก็ต้องทำกันหลาย ๆ ครั้ง อย่างน้อย ๆ 6-10 ครั้ง สัปดาห์ละ 1-2  ครั้ง กว่าจะรู้สึกเห็นผล  และได้ผลแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แม้เมื่อภาวะเหงื่อออกตามมือตามเท้าดีขึ้นแล้ว ก็ยังจำเป็นที่จะต้องทำไอออนโตกันบ้าง ทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ มิฉะนั้นก็จะกลับมาเหงื่อมากผิดปกติอีก

          ถัดมาก็เป็นเรื่องของการใช้ยา สาเหตุที่ทำให้เหงื่อออกมากนั้น ก็เพราะว่ามีการกระตุ้นให้ระบบประสาทอัตโนมัติหลั่งสารที่เรียกว่า อะซิติลโคลีน (Acetylcholine) จากปลายประสาทมากผิดปกติ จนไปกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อทำงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแพทย์บางคนก็จะแนะนำให้ใช้ยาต้านกระแสประสาทที่เรียกว่า Anticholinergics ซึ่งควรจะใช้ในรายที่มีเหงื่อออกมากทั้งตัว เพราะถ้าหากเป็นเฉพาะที่รักแร้ แล้วต้องกินยาอาจมีผลเสียไปบล็อกกระแสประสาททั่วร่างกาย ทำให้เกิดอาการมึนงง การควบคุมระบบปัสสาวะผิดปกติ ปากแห้ง และอื่น ๆ ตามมาได้

          ใหม่ล่าสุดที่ได้รับการยอมรับและผ่าน FDA ในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2004  นั่นก็คือการใช้สารโบทูลินัมท็อกซิน A ฉีดเข้าไปในบริเวณที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ  สารตัวนี้ก็คือเจ้าโบท็อกซ์นั่นเอง "แปล ว่าหากใครเป็นโรคนี้  ก็คงต้องทำใจที่จะโดนฉีดโบท็อกซ์ เจ็บตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ กัน ปีละ 1-2 ครั้ง ข้อดีก็คือ ช่วยลดภาวะกลิ่นตัวไปด้วยพร้อม ๆ กัน เนื่องจากเมื่อเหงื่อออกน้อย การหมักหมมของแบคทีเรียก็น้อย ก็จะทำให้กลิ่นตัวน้อยตามลงไปด้วย อาจมีข้อแทรกซ้อนได้บ้าง นั่นก็คือรอยฟกช้ำดำเขียวจากจุดที่ถูกเข็มฉีดยาจิ้ม และบางครั้งตัวยาโบท็อกซ์อาจจะซึมลึกไปมีผลถึงกล้ามเนื้อลึก ๆ ใต้วงแขน จนบางคนรู้สึกชาไปบ้าง แต่ก็มักจะหายได้เองภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์"  คุณหมอพักตร์พิไลกล่าว

          คุณ หมอย้ำว่า การดูแลสุขภาพร่างกายส่วนนี้ไว้บ้างเป็นเรื่องไม่ควรมองข้าม เพราะบางครั้งอาจหมายถึงโรคภัยไข้เจ็บแอบแฝง ซึ่งคงต้องปรึกษาแพทย์ดู เพื่อที่จะรู้ว่าคุณมีปัญหาโรคอื่น ๆ หรือไม่ ถ้าหากแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอื่น ๆ  แล้ว การดูแลรักษาสุขลักษณะส่วนตัว ก็จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองที่ดี อย่างน้อยเริ่มต้นด้วยการอาบน้ำ ทำความสะอาดตัวเองให้ได้เป็นประจำ ใช้ยาระงับกลิ่น  (Deodorant) และยาระงับเหงื่อ (Antiperspirants) และอาจใช้แป้งฝุ่น แป้งเด็ก เข้ามาช่วยสักนิดหนึ่ง เลือกเสื้อผ้าอีกสักหน่อย เพราะหากใช้เสื้อผ้าที่ตัดเย็บมาจากวัสดุสังเคราะห์ มักจะมีผลให้การระบายเหงื่อไม่ค่อยดี เลือกใช้ผ้าฝ้ายจะช่วยให้เหงื่อที่ไหลออกมานั้น ระเหยหายไปได้เร็วกว่า ไม่ติดเหนียวอยู่ที่ตัว หากจำเป็นจริง ๆ ก็ต้องถึงมือคุณหมอ ทำไอออนโตหรือทำการฉีดโบท็อกซ์ซะ จะได้หมดห่วง หมดกังวลกับปัญหานี้

0 comments:

Post a Comment